ดูหนัง ขุนพันธ์ 3 (Khun Pan 3 - 2023) เต็มเรื่อง H

ดูหนัง ขุนพันธ์ 3 (Khun Pan 3 - 2023) เต็มเรื่อง HD พากย์ไทย

Product details

[ดูหนัง] ขุนพันธ์ 3 (2023) ออนไลน์ฟรี HD พากย์ไทย THAI-!, ดูหนัง! (ขุนพันธ์ 3 2023) ออนไลน์ฟรี HD พากย์ไทย (SUB-THAI), ดู-หนัง ขุนพันธ์ 3 (2023) เต็มเรื่อง [HD] พากย์ไทย, ดู! ขุนพันธ์ 3 (2023) เต็มเรื่อง ดูหนังออนไลน์ THAI, ขุนพันธ์ 3  (2023) ดูหนังออนไลน์ ซับไทย FULL HD, ขุนพันธ์ 3 เต็มเรื่อง (2023) ดูหนังออนไลน์ THAI


▶ รับชมเต็มเรื่อง ➥➾ ขุนพันธ์ 3 ภาพยนตร์เต็มเรื่องฟรี FULL-HD


‘ขุนพันธ์ 3’ เป็นผลงานเรื่องล่าสุดของ โขม-ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่สานต่อตำนาน ขุนพันธรักษ์ราชเดช นายตำรวจหนังเหนียวในประวัติศาสตร์ ให้กลายมาเป็นตัวละครกึ่งซุปเปอร์ฮีโร่สายมูเตลูในสไตล์ไทย ที่ระเบิดพลังความมันราวกับหนังซุปเปอร์ฮีโร่มาร์เวล ชนิดที่ Dr. Strange ยังต้องขอคารวะ ส่วนพ่อมด Harry Potter มาเห็น ก็อาจต้องขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์

แต่ภายใต้ความสุดโต่งในสไตล์แฟนตาซีเช่นนี้ ‘ขุนพันธ์ 3’ ก็ยังเป็นหนังปิดแฟรนไชส์ไตรภาค ที่แฝงไว้ด้วยเรื่องราว และสิ่งที่น่าสนใจมากมาย จนเราอยาก ‘เชียร์’ ให้ไป ‘ชม’ กันในโรงภาพยนตร์

1) ความสนุกหลากรสแบบ ‘ยำใหญ่ใส่สารพัด’
ในบรรยากาศรอบสื่อมวลชน มันอาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร หากเราจะได้ยินเสียงเชียร์และการปรบมือให้กำลังใจกับตัวหนัง ซึ่งก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ สำหรับหนังขวัญใจมหาชนของฮอลลีวูด อย่างแฟรนไชส์หนังมาร์เวล แต่กับหนังไทย แม้อาจมีไม่บ่อยนัก แต่ปรากฏการณ์นี้ก็เกิดขึ้นกับ ‘ขุนพันธ์ 3’ เพราะผู้ชมในรอบสื่อมวลชน เฮกันลั่นโรงพร้อมกับปรบมือดังสนั่น เพราะหนังมีฉากเซอร์ไพรส์เด็ดๆ จากเนื้อหาที่ปูมาตั้งแต่ภาค 1-2 และถูกนำมาขมวดส่งท้ายแบบ ‘ยำใหญ่ใส่สารพัด’ ในเรื่องนี้ด้วย มันจึงทำให้ผู้ชมที่เคยติดตามมาตั้งแต่ภาคแรกอาจ ‘อิน’ และ ‘ฟิน’ ไปกับหนังปิดตำนานภาคนี้อย่างแน่นอน

2) ความเป็นแฟรนไชส์สายลับในสไตล์ไทยๆ 
‘เจมส์ บอนด์ สายลับ 007 สไตล์ไทย’ คือความตั้งใจของก้องเกียรติ และ เสี่ยเจียง-สมศักดิ์ เตชะรัตนประเสริฐ แห่งสหมงคลฟิล์มฯ ที่คิดจะสร้างหนังที่มีตัวละครที่สามารถ ‘ต่อยอด’ ไปได้เรื่อยๆ ซึ่งพี่โขมก็ได้พัฒนาบทจนสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวละคร ขุนพันธ์ และเรื่องราวของเขา ให้เป็นมากกว่าหนังชีวประวัติธรรมดา แต่เป็นการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่จะทำให้ตำนานอีกมากมายจากเรื่องเล่าและวีรกรรมของขุนพันธ์ ยังสามารถหยิบเอาไปใช้ต่อได้ – เรียกได้ว่าเป็นการสร้าง ‘ขุนพันธ์ยูนิเวิร์ส’ ออกมาได้ไม่แพ้จักรวาลมาร์เวล แม้ว่าอายุของแฟรนไชส์นี้จะดำเนินมาถึงสิบปีแล้ว แต่ในภาค 3 นี้ ก็ทำให้เห็นว่า ทศวรรษเดียวก็ยังไม่พอ สำหรับเนื้อหาอันน่าสนใจที่น่าจะต่อยอดไปได้อีกไม่รู้จบ

3) ความเป็นหนังแอ็กชัน ผนวกกับสไตล์สาย ‘มูฯ’ 
ด้วยเนื้อหาของหนังที่มีจุดเด่นในการใช้คุณไสยหลายแขนงเข้ามาใช้ในเรื่อง รวมถึงการนำแอ็กชันมาผสมผสานกับความสยองขวัญได้อย่างลงตัว เพราะขึ้นชื่อว่าคุณไสยแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นบรรยากาศความลึกลับ ซึ่งไฮไลต์เด็ดของเรื่อง คือการจัดเต็มแบบ ‘หนังแอ็กชันสายมูฯ’ ในองก์ที่สามของเรื่อง โดยใน 30 นาทีสุดท้ายของหนังนั้นเต็มไปด้วยความดุเดือดของคิวบู๊ การระเบิดภูเขาเผากระท่อม

แต่หนังก็มีความฉลาดในการที่จะทำให้เราได้เห็นพัฒนาการของขุนพันธ์ ด้วยวัยที่สูงขึ้นจนอำนาจวิเศษใดๆ ก็ต้องมีอันต้องเสื่อมไปบ้าง เราจึงได้เห็นการเลือกใช้วิชาคาถาที่เก๋าเกมและฉลาดเฉลียวมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึง ‘ของขลัง’ ที่นำมาใช้ ซึ่งก็เปลี่ยนแปลงไปทุกภาค นับตั้งแต่ ภาค 1 ที่มีปืนสั้นที่ต่อเป็นปืนยาว, ภาค 2 ที่ใช้แส้ปืนปราบเหล่าร้าย และภาค 3 ที่เป็นภาครวมมิตร ทั้งปืน, ดาบ และกริช รวมถึงคาถาคงกระพัน, ตาทิพย์, สนทนากับคนตาย และอื่นๆ อีกมากมาย โดยคราวนี้ไม่ใช่แค่ขุนพันธ์ที่มีวิชาอาคม เมื่อเขาได้เจอกับฝั่งตรงข้ามที่มีพลังอันน่าสะพรึงด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหนังจะมีความแฟนตาซีที่ ‘ขี้โม้’ อยู่บ้าง แต่มันก็ไปสุดและถึงใจ ที่หากใครชอบหนังอินเดียแนว RRR  ของ เอส เอส ราจามูลี หนังเรื่องนี้ก็สามารถมอบพลังความสนุกแบบหลุดโลกได้แบบเดียวกัน

4) ความเป็นเฉดสีเทาของเรื่องเล่าอิงประวัติศาสตร์
แม้จะมีคำกล่าวว่า “สิ่งที่คงกระพันที่สุด คือ ความดี” แต่หนังไทยเรื่องนี้ถูกนำเสนอด้วยเฉดสีเทา เพราะตั้งแต่ภาคแรก หนังขุนพันธ์ไม่ได้มีแค่ขาวกับดำ แต่ยังวิพากษ์การเมืองการปกครองและศรัทธาอย่างสนุกมือ ซึ่งด้วยข้อดีของหนังที่เป็นเหมือนการนำเสนอประเทศไทยแบบ Alternate Universe ก็ทำให้ผู้สร้างไม่ต้องคอยมากังวลกับการแตะเรื่องนั้นเรื่องนี้ไม่ได้ เพราะหนังเลือกที่จะนำเอายุคสมัยในประวัตศาสตร์จริง มาเสริมเติมแต่งเข้าไป เพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของการเป็น ‘หนังไทยย้อนยุค’ ที่ต้องเหมือนเปี๊ยบทุกกระเบียดนิ้ว

โดยภาค 1 นั้นเป็นภาคก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ขณะที่ภาค 2 ก็เป็นเรื่องราวของหลังจากญี่ปุ่นแพ้สงคราม และเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง จนทำให้เกิด ‘เสือร้าย’ ขึ้นทั่วประเทศ และพอมาถึงภาค 3 มันก็เล่าถึงช่วงเวลาประมาณปี 2493-2495 ซึ่งช่วงนั้น สถานการณ์ของทั้งโลกกำลังก้าวสู่ยุคสงครามเย็น กล่าวคือเป็นยุคสงครามข้อมูล และสงครามสายลับ โดยมีวิกฤติทางการเมือง ความเหลื่อมล้ำทางสังคม ระบบที่คนรวย-ข้าราชการ-คฤหบดีมีอำนาจ และภาวะที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ แต่โจรยังคงอยู่ ที่ล้วนสะท้อนว่าระบบการปกครองยังคงทำร้ายประชาชนคนตัวเล็กๆ รวมถึงการปกปิดความเลวทรามของชนชั้นปกครองที่ต้องการให้มีการสะสางและล้างบางทรราชให้สิ้นซาก

แต่ถึงอย่างนั้น หนังก็เล่าออกมาในแบบที่ดูเอามันก็ได้ แต่ดูแล้วเอาไปคิดต่อก็ยิ่งดีใหญ่ เพราะหนังมีที่มาที่ไปในการกระทำของตัวละคร ซึ่งฝั่งผู้ร้ายก็ใช่ว่าจะเลวมาตั้งแต่เกิด และฝั่งคนดีก็ใช่ว่าจะมีความขาวสะอาด ไม่เคยแปดเปื้อน ทั้งยังเล่าถึงพลังของคนตัวเล็กๆ และคนชายขอบต่างๆ ที่ต้องรวมพลังรวมใจกันเพื่อต่อต้านระบบที่เป็นแหล่งผลิตความชั่ว ซึ่งแม้ขุนพันธ์จะเก่งกาจแค่ไหน ก็ไม่อาจต่อกรเพียงคนเดียวได้

5) ความโดดเด่นของนักแสดง ทั้งบทนำ และบทสมทบ
แม้ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม จะเป็นนักแสดงแถวหน้าของเมืองไทยอยู่แล้ว แต่ในภาคนี้เป็นการการันตีได้ว่า เขาทำให้ขุนพันธ์กลายเป็นหนึ่งใน ‘บทอันน่าจดจำ’ ของเขา เพราะตัวละครนี้มีพัฒนาการที่น่าสนใจในทุกภาค

เรื่องแนะนำ
ส่วน มาริโอ้ เมาเร่อ ในบท เสือมเหศวร ทรชนสองหน้า ก็เป็นอีกหนึ่งบทบาทที่ดีที่สุด และฉีกแนวที่สุดของมาริโอ้ ซึ่งใครที่ติดตามเขามา จะพบว่าบทนี้เป็นบทที่ทำให้เขาดูเติบโตขึ้น และมีเสน่ห์มากกว่าที่เคยเป็นมา

โตโน่-ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ กับบท เสือดำ ที่เห็นแล้วต้องจำได้ทันที เพราะตัวละครนี้ไม่ใช่คนที่เราจะมองผ่านไปได้ง่ายๆ โดยโตโน่ได้นำเสนอความแข็งแกร่งในตัวตนของเสือดำออกมา ขณะที่ก็ยังมีมิติเปราะบางของตัวละครนี้ไปด้วย

เอม-ภูมิภัทร ถาวรศิริ นักแสดงเลือดใหม่ที่มีผลงานมาหลายเรื่องแล้ว แต่กับบทบาท ร้อยเอกทัตเทพ ถือเป็นอีกหนึ่งตัวละครเซอร์ไพรส์ที่ไม่ค่อยได้รับการนำเสนอในหนังไทยเท่าไร เพราะเขาเป็นคนที่เก่งในเชิงยุทธศาสตร์ และมีความซับซ้อนทางความคิดอ่านที่น่าประทับใจ  

รวมถึงตัวละครสมทบอื่นๆ ที่พาเนื้อเรื่องไปถึงจุดหมายได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งก็เผยให้เห็นชั้นเชิงการกำกับที่สามารถทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วม ปล่อยจอยปล่อยใจไปกับเนื้อเรื่องได้ดีมากๆ

6) ความคิดสร้างสรรค์และโปรดักชันไทยที่ไม่แพ้ประเทศใดในโลก
งานสร้างหนังไทยในสเกลใหญ่ๆ แบบนี้ไม่มีมาให้เห็นบ่อยนัก และเรื่องนี้ก็ทำได้ดีมากในระดับน้องๆ Avengers ด้วยงานสร้างและงาน CG ที่น่าสนใจ แม้ว่าด้วยทุนสร้างอาจไม่เทียบเท่าหนังฮอลลีวูด แต่หากวัดกันด้วยเรื่องของความคิดสร้างสรรค์แล้ว หนังเรื่องนี้ก็มีดีไม่แพ้ใคร

อย่างที่บอกไปแล้วว่า หนังมีความแฟนตาซีขี้โม้อยู่มาก แต่เมื่อมันถูกผนวกเข้ากับองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ก็กลับไปด้วยกันได้ดี และการถ่ายทำก็ออกมาเนี้ยบกริบ โดยเฉพาะการเนรมิตพื้นที่กว่า 70 ไร่ของโรงงานกระดาษไทยกาญจนบุรี ซึ่งมีอายุกว่า 84 ปี จนทำให้ทั้งพื้นที่และตัวอาคารร้างกลายเป็นชุมเสือขนาดใหญ่ของเหล่าบรรดาเสือร้าย ซึ่งประกอบไปด้วยถ้ำเสือชุมโจร, โรงพยาบาล, ร้านตัดผม, ร้านเหล้า, ตลาด, ลานประลอง, ศาลเตี้ย, เตาเผาศพ, หอคอยสังเกตการณ์ และอื่นๆ อีกมากมาย – ถือเป็นเมืองเถื่อนซ่องโจรสไตล์คาวบอยสัญชาติไทย ที่ทำออกมาได้อย่างน่าทึ่ง    

7) ความ Amazing Thailand ที่ดูแล้วอยากเดินทางตามรอย 
ทีมงานหนังเรื่องนี้เดินทางไปถ่ายทำกันที่แกรนด์แคนยอนเมืองไทย อุทยานแห่งชาติ แม่จริม และวังศิลาแลง จังหวัดน่าน เพื่อสร้างสรรค์ฉากไฮไลต์อย่างการล่องแก่งที่ต้องเผชิญความยากลำบาก เนื่องจากระดับความอันตรายที่อยู่ในระดับ 3 (จากทั้งหมด 5 ระดับ) แต่ภาพที่ออกมา ก็เรียกได้ว่าคุ้มค่ากับหยาดเหงื่อแรงกายที่ทุ่มเทไป เพราะเป็นหนึ่งในฉากเด็ดของเรื่องที่น่าจดจำ โดยเฉพาะกับภูมิทัศน์เช่นนี้ ที่ควรค่าแก่การรับชมบนจอใหญ่ๆ เพื่อให้ได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่และความงดงามกันอย่างเต็มอิ่ม

8) ความเป็นหนังไทยที่แฝง Easter Eggs ของวงการหนังไทย 
เพื่อเป็นการรื้อฟื้นความผูกพันระหว่าง ‘คนดู’ กับ ‘หนังไทย’ ผู้กำกับจึงตั้งใจกวาดทุกสิ่งในความเป็นหนังไทย ที่หลายคนอาจจะลืมเลือนกันไปแล้วมานำเสนออีกครั้ง โดยพาเราหวนคืนสู่ยุคของหนังไทยที่ยังเต็มไปด้วยความเป็นไปได้อย่างไร้ขีดจำกัด และยังแฝงเสน่ห์เอาไว้ด้วยการใช้นักแสดงที่เป็นบุคคลในแวดวงภาพยนตร์หลายๆ แขนง ทั้งนักแสดงเบอร์ใหญ่ยันเบอร์รอง ไปจนถึงตัวประกอบ/นักแสดงสมทบหลายคนที่มีผลงานในวงการหนังไทย ให้กลับมาเล่นในหนังเรื่องนี้ ซึ่งแม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะจดจำพวกเขาได้ แต่สำหรับวงการคนทำหนังไทยแล้ว หนังเรื่องนี้ คือ การให้เกียรติคนตัวเล็กๆ และคนในแวดวงภาพยนตร์อย่างถึงที่สุด – ซึ่งเราอยากให้คุณๆ ลองไปสังเกตกันโดยปราศจากการสปอยล์

โดยสรุปแล้ว ‘ขุนพันธ์ 3’ จึงไม่เป็นแค่เพียงหนังไทยเรื่องหนึ่งที่คุณภาพจัดเต็ม แต่ยังเป็นหนังที่ทะเยอทะยาน และมีเป้าหมายที่จะยกระดับการทำหนังไทยอย่างแท้จริง ซึ่งความแหวกแนวอย่างไร้ขีดจำกัดของหนังเรื่องนี้ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า หนังไทยยังไม่ตาย และพร้อมที่จะพาผู้ชมไปอีกระดับหนึ่งเสมอ หากผู้ชมให้โอกาส

Similar products

Sorry we're currently not accepting orders